Home » เทคโนโลยีที่ใช้ในการ Preventive maintenance

เทคโนโลยีที่ใช้ในการ Preventive maintenance

by admin
7 views

Preventive maintenance หรือการบำรุงรักษาเชิงป้องกัน เป็นกระบวนการที่สำคัญสำหรับการรักษาและยืดอายุการใช้งานของเครื่องจักรและอุปกรณ์ในโรงงาน โดยใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยเพื่อป้องกันการเสียหายที่ไม่คาดคิด บทความนี้จะพาท่านไปสำรวจเทคโนโลยีที่ใช้ในการ preventive maintenance และวิธีการทำงานของเทคโนโลยีเหล่านี้อย่างละเอียด

การตรวจวัดสภาพ (Condition Monitoring)

การตรวจวัดสภาพ (Condition Monitoring) เป็นกระบวนการที่ใช้เซ็นเซอร์และเทคโนโลยีในการตรวจสอบสภาพการทำงานของเครื่องจักรและอุปกรณ์ต่าง ๆ แบบเรียลไทม์ การตรวจวัดสภาพประกอบด้วยการเก็บข้อมูลต่าง ๆ เช่น:

  • อุณหภูมิ (Temperature): การตรวจวัดอุณหภูมิช่วยในการตรวจสอบความร้อนที่เกิดขึ้นจากการเสียดสีหรือการทำงานที่ผิดปกติของเครื่องจักร การวัดอุณหภูมิมักใช้เทอร์โมคัปเปิล (Thermocouple) หรือ RTD (Resistance Temperature Detector) ซึ่งมีความแม่นยำสูง โดยทั่วไปการตรวจวัดอุณหภูมิในเครื่องจักรควรอยู่ในช่วง -50°C ถึง 1,000°C
  • การสั่นสะเทือน (Vibration): เซ็นเซอร์วัดการสั่นสะเทือนจะตรวจจับการเคลื่อนไหวที่ไม่สมดุลหรือการเสียดสีที่ไม่ปกติ โดยใช้ Accelerometer ที่สามารถวัดการสั่นสะเทือนได้ในหน่วย g (แรงโน้มถ่วง) ค่ามาตรฐานในการวัดการสั่นสะเทือนตาม ISO 10816 อยู่ที่ 2-3 mm/s RMS สำหรับเครื่องจักรขนาดกลาง
  • เสียง (Acoustic Emissions): การตรวจวัดเสียงช่วยในการตรวจสอบความผิดปกติที่เกิดขึ้นจากการแตกหักของวัสดุหรือการทำงานที่ผิดปกติของชิ้นส่วน การวัดเสียงใช้ไมโครโฟนชนิดพิเศษที่สามารถจับสัญญาณเสียงในย่านความถี่ 20 kHz ขึ้นไป
  • ความดัน (Pressure): การตรวจวัดความดันช่วยในการตรวจสอบการทำงานของระบบไฮดรอลิกส์และการทำงานที่ไม่สมดุลของระบบ โดยใช้เซ็นเซอร์ความดันที่มีความแม่นยำสูง สามารถวัดได้ตั้งแต่ 0 ถึง 10,000 psi

เซ็นเซอร์เหล่านี้จะส่งข้อมูลไปยังระบบการวิเคราะห์ข้อมูลที่ใช้ซอฟต์แวร์ที่สามารถตรวจจับและวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงที่อาจเป็นสัญญาณบอกเหตุของปัญหาในอนาคต

การวิเคราะห์การสั่นสะเทือน (Vibration Analysis)

การวิเคราะห์การสั่นสะเทือนเป็นเทคโนโลยีที่ใช้ในการ preventive maintenance โดยใช้เครื่องมือวัดและซอฟต์แวร์วิเคราะห์ที่สามารถตรวจจับการสั่นสะเทือนของเครื่องจักรได้อย่างละเอียด เครื่องวัดการสั่นสะเทือน (Vibration Analyzer) มักใช้ Accelerometer ที่มีความแม่นยำสูงในการตรวจจับการสั่นสะเทือน และส่งข้อมูลไปยังซอฟต์แวร์วิเคราะห์เช่น MATLAB หรือ Python สำหรับการวิเคราะห์รูปแบบการสั่นสะเทือนเพื่อตรวจจับความผิดปกติ เช่น:

  • การสึกหรอของแบริ่ง (Bearing Wear): การตรวจจับการสึกหรอของแบริ่งผ่านการวิเคราะห์ความถี่ของการสั่นสะเทือนที่เกิดขึ้นในช่วง 500-2,000 Hz
  • ความไม่สมดุลของโรเตอร์ (Rotor Imbalance): การตรวจจับความไม่สมดุลโดยการวิเคราะห์การสั่นสะเทือนในย่านความถี่ต่ำ (0.5-10 Hz)

การตรวจสอบด้วยอัลตราโซนิก (Ultrasonic Testing)

การตรวจสอบด้วยอัลตราโซนิกเป็นเทคนิคที่ใช้คลื่นเสียงที่มีความถี่สูงในการตรวจสอบความสมบูรณ์ของวัสดุ คลื่นเสียงจะถูกส่งผ่านวัสดุและเมื่อคลื่นเสียงเจอรอยแตกหรือข้อบกพร่องภายในวัสดุ คลื่นเสียงจะสะท้อนกลับมาและถูกตรวจจับโดยตัวรับสัญญาณ การวิเคราะห์คลื่นเสียงสะท้อนนี้สามารถช่วยในการตรวจจับข้อบกพร่องที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า

  • ความถี่ของคลื่นเสียง (Frequency): โดยทั่วไปใช้คลื่นเสียงที่มีความถี่ในช่วง 0.5-20 MHz
  • การเจาะลึก (Penetration Depth): ความลึกที่สามารถตรวจสอบได้ขึ้นอยู่กับความถี่ของคลื่นเสียงและชนิดของวัสดุ โดยทั่วไปสามารถเจาะลึกได้ตั้งแต่ 1 มม. ถึง 500 มม.

การวิเคราะห์น้ำมัน (Oil Analysis)

การวิเคราะห์น้ำมันเป็นกระบวนการที่ใช้ในการตรวจสอบคุณภาพของน้ำมันหล่อลื่นในเครื่องจักร การตรวจวัดส่วนประกอบต่าง ๆ ในน้ำมัน เช่น โลหะที่เกิดจากการสึกหรอ สารเคมีที่เกิดจากการออกซิเดชัน และสิ่งสกปรกอื่น ๆ สามารถให้ข้อมูลเกี่ยวกับสภาพภายในของเครื่องจักร การวิเคราะห์น้ำมันช่วยในการวางแผนการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันและการบำรุงรักษาเครื่องจักรอย่างมีประสิทธิภาพ

  • ความหนืด (Viscosity): การวัดความหนืดของน้ำมันที่ 40°C และ 100°C
  • ปริมาณโลหะที่สึกหรอ (Wear Metals): การตรวจวัดปริมาณโลหะเช่น Fe, Cu, Pb, และ Al ที่เกิดจากการสึกหรอในน้ำมัน

การทดสอบความแข็งแรงของวัสดุ (Material Hardness Testing)

การทดสอบความแข็งแรงของวัสดุเป็นวิธีการตรวจสอบความแข็งแรงของวัสดุโดยใช้เทคนิคต่าง ๆ เช่น การทดสอบความแข็งแบบ Vickers, Brinell, และ Rockwell การทดสอบนี้สามารถช่วยในการตรวจสอบความสมบูรณ์ของวัสดุที่ใช้ในการผลิตเครื่องจักรและอุปกรณ์

  • วิธีการทดสอบ Vickers (Vickers Hardness Test): ใช้แรงกด 1 kgf ถึง 100 kgf ในการทดสอบ
  • วิธีการทดสอบ Brinell (Brinell Hardness Test): ใช้ลูกบอลทังสเตนคาร์ไบด์ขนาด 10 มม. และแรงกด 500 kgf ถึง 3000 kgf
  • วิธีการทดสอบ Rockwell (Rockwell Hardness Test): ใช้แรงกด 60 kgf ถึง 150 kgf ในการทดสอบ

การตรวจสอบการสึกหรอ (Wear Analysis)

การตรวจสอบการสึกหรอเป็นกระบวนการที่ใช้ในการวิเคราะห์สภาพการสึกหรอของชิ้นส่วนเครื่องจักร เทคนิคที่ใช้รวมถึงการวิเคราะห์การสึกหรอของแบริ่ง, เฟือง, และชิ้นส่วนที่มีการเคลื่อนไหว การตรวจสอบการสึกหรอสามารถช่วยในการวางแผนการบำรุงรักษาและการเปลี่ยนชิ้นส่วนที่สึกหรอ

การตรวจสอบด้วยการทดสอบความเครียด (Stress Testing)

การทดสอบความเครียดเป็นวิธีการตรวจสอบความแข็งแรงและความทนทานของวัสดุและชิ้นส่วนเครื่องจักรโดยการนำชิ้นส่วนไปผ่านการทดสอบภายใต้สภาวะที่กำหนด เช่น การทดสอบการทนทานต่อการดึง การกด และการดัด การทดสอบนี้ช่วยในการประเมินความทนทานของวัสดุต่อสภาวะการใช้งานที่หนักหน่วง

  • การทดสอบความเครียดดึง (Tensile Stress Test): ใช้เครื่องทดสอบที่สามารถวัดแรงดึงสูงสุด (Ultimate Tensile Strength) และการยืดตัว (Elongation) ของวัสดุ
  • การทดสอบความเครียดกด (Compressive Stress Test): ใช้เครื่องทดสอบที่สามารถวัดแรงกดสูงสุด (Compressive Strength) และการยืดตัวของวัสดุ

การใช้เทคโนโลยีขั้นสูงในการ preventive maintenance ช่วยในการตรวจสอบและวิเคราะห์สภาพของเครื่องจักรในโรงงานอย่างมีประสิทธิภาพ ลดความเสี่ยงในการเกิดความเสียหายที่ไม่คาดคิดและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของเครื่องจักร

 

ติดต่อ

หากคุณสนใจบริการของเรา หรือต้องการปรึกษาเกี่ยวกับการปรับปรุงเว็บไซต์ของคุณให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

@2024 – All Right Reserved. Designed and Developed by ppegood