Home » มาตรฐานสากลสำหรับระบบดับเพลิงในอาคาร

มาตรฐานสากลสำหรับระบบดับเพลิงในอาคาร

by admin
6 views

ระบบดับเพลิงในอาคาร เป็นอีกหนี่งระบบที่สำคัญสำหรับทุกอาคารในทุกอุตสาหกรรม ด้วยระบบที่ดี การป้องกันอัคคีภัยจะมีประสิทธิภาพ เพิ่มโอกาสรอดชีวิตให้ทุกคน

NFPA 13: Standard for the Installation of Sprinkler Systems

การออกแบบและติดตั้งระบบสปริงเกอร์

  • ทุกพื้นที่ที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดไฟไหม้ต้องติดตั้งสปริงเกอร์ หัวสปริงเกอร์ต้องครอบคลุมพื้นที่ไม่เกิน 225 ตารางฟุต (ประมาณ 20.9 ตารางเมตร) ต่อหัว
  • ต้องมีความดันน้ำขั้นต่ำที่ 7 psi (ประมาณ 0.48 บาร์) ที่หัวสปริงเกอร์ และการไหลของน้ำต้องไม่ต่ำกว่า 0.1 แกลลอนต่อนาทีต่อตารางฟุต
  • ระยะห่างระหว่างหัวสปริงเกอร์ต้องไม่เกิน 15 ฟุต (ประมาณ 4.57 เมตร) และระยะห่างจากผนังต้องไม่เกิน 7.5 ฟุต (ประมาณ 2.29 เมตร)
  • หัวสปริงเกอร์ต้องติดตั้งที่ระยะไม่เกิน 12 นิ้ว (ประมาณ 30 เซนติเมตร) จากเพดาน
  • พื้นที่ที่มีการใช้งานวัตถุไวไฟ ต้องมีการเพิ่มความดันน้ำและความหนาแน่นของหัวสปริงเกอร์
  • พื้นที่ที่มีเพดานสูงเกิน 30 ฟุต (ประมาณ 9.14 เมตร) ต้องมีการใช้หัวสปริงเกอร์แบบ ESFR (Early Suppression, Fast Response) เพื่อให้มีประสิทธิภาพในการดับเพลิง
  • ห้องเก็บของที่มีชั้นวางสูงกว่า 12 ฟุต (ประมาณ 3.66 เมตร) ต้องติดตั้งหัวสปริงเกอร์ทั้งด้านบนและด้านล่างของชั้นวาง

การใช้วัสดุและอุปกรณ์

  • วัสดุที่ใช้ในการติดตั้งระบบสปริงเกอร์ต้องผ่านการรับรองตามมาตรฐาน UL (Underwriters Laboratories) หรือ FM (Factory Mutual)
  • ท่อที่ใช้ต้องเป็นวัสดุที่ทนต่อการกัดกร่อน เช่น ท่อเหล็กกัลวาไนซ์ (Galvanized Steel) หรือท่อทองแดง (Copper Pipe)
  • หัวสปริงเกอร์ต้องสามารถทนต่ออุณหภูมิและแรงดันน้ำที่กำหนดตามมาตรฐาน
  • วาล์วและอุปกรณ์เสริมต้องได้รับการรับรองจากองค์กรที่เกี่ยวข้อง และต้องสามารถทำงานร่วมกับระบบสปริงเกอร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การทดสอบและบำรุงรักษา

  • ต้องมีการทดสอบระบบสปริงเกอร์อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง โดยทดสอบการไหลของน้ำและความดันน้ำ
  • การทดสอบแบบไฮโดรสแตติก (Hydrostatic Test) ต้องดำเนินการทุก 5 ปี เพื่อประเมินความสมบูรณ์ของระบบท่อ
  • หัวสปริงเกอร์ต้องเปลี่ยนใหม่ทุก 50 ปี หรือเมื่อพบว่ามีการชำรุด
  • ต้องมีการบำรุงรักษาและตรวจสอบระบบสปริงเกอร์อย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีการใช้งานอย่างหนัก เช่น โรงงานอุตสาหกรรม

NFPA 72: National Fire Alarm and Signaling Code

การติดตั้งระบบสัญญาณเตือนภัย

  • ต้องติดตั้งเครื่องตรวจจับควันและความร้อนในทุกพื้นที่ที่มีความเสี่ยง เช่น ห้องนอน ห้องครัว และทางเดิน ระยะห่างระหว่างเครื่องตรวจจับต้องไม่เกิน 30 ฟุต (ประมาณ 9.14 เมตร)
  • สัญญาณเตือนภัยต้องมีความดังไม่น้อยกว่า 85 เดซิเบล (dB) ที่ระยะห่าง 10 ฟุต (ประมาณ 3.05 เมตร)
  • ระบบสัญญาณเตือนภัยต้องมีการสำรองพลังงานด้วยแบตเตอรี่ที่สามารถทำงานได้ไม่น้อยกว่า 24 ชั่วโมงในกรณีที่ไฟฟ้าดับ
  • ต้องมีการติดตั้งสัญญาณไฟเตือน (Strobe Light) ในพื้นที่ที่มีคนหูหนวกหรือผู้ที่มีปัญหาการได้ยิน
  • การติดตั้งเครื่องตรวจจับควันแบบ Photoelectric และ Ionization ในพื้นที่ต่าง ๆ เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการตรวจจับควัน

การบำรุงรักษาและทดสอบระบบ

  • ต้องมีการตรวจสอบระบบสัญญาณเตือนภัยอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง
  • ต้องทดสอบการทำงานของเครื่องตรวจจับและสัญญาณเตือนภัยทุกเดือน
  • แบตเตอรี่สำรองต้องเปลี่ยนใหม่ทุก 5 ปี หรือเมื่อพบว่ามีการเสื่อมสภาพ
  • ต้องมีการทำความสะอาดเครื่องตรวจจับควันและความร้อนทุก 6 เดือน เพื่อป้องกันการสะสมของฝุ่นและสิ่งสกปรก
  • ต้องเก็บบันทึกข้อมูลการตรวจสอบและการทดสอบทุกครั้ง เพื่อใช้เป็นหลักฐานในการตรวจสอบ

NFPA 25: Standard for the Inspection, Testing, and Maintenance of Water-Based Fire Protection Systems

การตรวจสอบและทดสอบระบบดับเพลิงที่ใช้น้ำ

  • ต้องมีการตรวจสอบระบบดับเพลิงที่ใช้น้ำอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง โดยตรวจสอบความดันน้ำ สภาพท่อ และการทำงานของวาล์ว
  • ทดสอบระบบสปริงเกอร์ทุก 5 ปี เพื่อประเมินประสิทธิภาพการทำงานของหัวสปริงเกอร์และการไหลของน้ำ
  • ต้องตรวจสอบวาล์วควบคุมน้ำ (Control Valves) อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง เพื่อให้แน่ใจว่าสามารถเปิดและปิดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • การทดสอบการทำงานของปั๊มน้ำ (Fire Pump) ต้องดำเนินการทุกปี โดยตรวจสอบความดันและการไหลของน้ำ
  • ต้องตรวจสอบการทำงานของระบบการระบายอากาศ (Air Vent) เพื่อป้องกันการสะสมของอากาศในระบบท่อ

การบำรุงรักษาระบบ

  • ต้องมีการบำรุงรักษาระบบอย่างสม่ำเสมอ เช่น การทำความสะอาดหัวสปริงเกอร์ การตรวจสอบและเปลี่ยนวาล์วที่ชำรุด
  • ต้องเก็บบันทึกข้อมูลการตรวจสอบและการบำรุงรักษาทุกครั้ง เพื่อเป็นหลักฐานในการตรวจสอบ
  • การเปลี่ยนหัวสปริงเกอร์และอุปกรณ์ที่มีการใช้งานมาเป็นเวลานานหรือมีการชำรุด
  • การทดสอบระบบในกรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงหรือปรับปรุงอาคาร เพื่อให้แน่ใจว่าระบบยังคงทำงานได้ตามมาตรฐาน

มาตรฐาน ISO 7240: Fire Detection and Alarm Systems

การออกแบบและติดตั้งระบบตรวจจับและสัญญาณเตือนอัคคีภัย

  • ต้องติดตั้งเครื่องตรวจจับควันในทุกพื้นที่ที่มีความเสี่ยง และต้องสามารถตรวจจับควันในระยะไม่เกิน 10 เมตร
  • ต้องติดตั้งเครื่องตรวจจับความร้อนในพื้นที่ที่มีความร้อนสูง เช่น ห้องครัว และต้องสามารถตรวจจับอุณหภูมิที่เกิน 60 องศาเซลเซียส
  • ระบบสัญญาณเตือนอัคคีภัยต้องมีความสามารถในการตรวจจับอัคคีภัยในระยะเวลาที่ไม่เกิน 30 วินาทีหลังจากเกิดควันหรือความร้อน
  • ต้องมีการติดตั้งปุ่มสัญญาณเตือนฉุกเฉินในทุกชั้นของอาคาร โดยมีระยะห่างไม่เกิน 30 เมตรจากทุกจุดในอาคาร
  • ต้องมีการติดตั้งสัญญาณไฟเตือน (Visual Alarm) ในพื้นที่ที่มีคนหูหนวกหรือผู้ที่มีปัญหาการได้ยิน

การบำรุงรักษาและการทดสอบ

  • ต้องมีการตรวจสอบระบบตรวจจับและสัญญาณเตือนอัคคีภัยอย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง
  • ทดสอบระบบตรวจจับและสัญญาณเตือนอัคคีภัยทุกเดือน เพื่อให้แน่ใจว่าระบบสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • การทดสอบเครื่องตรวจจับควันและความร้อนต้องทำในทุกพื้นที่ของอาคาร เพื่อให้แน่ใจว่าระบบสามารถตรวจจับอัคคีภัยได้อย่างแม่นยำ
  • การทำความสะอาดและบำรุงรักษาเครื่องตรวจจับควันและความร้อนทุก 6 เดือน เพื่อป้องกันการสะสมของฝุ่นและสิ่งสกปรก
  • การบันทึกข้อมูลการตรวจสอบและการทดสอบทุกครั้ง เพื่อใช้เป็นหลักฐานในการตรวจสอบและการปรับปรุงระบบ

ระบบดับเพลิงในอาคาร ตามมาตรฐานเหล่านี้มีความซับซ้อนและต้องการการดูแลรักษาอย่างต่อเนื่องเพื่อให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดในกรณีฉุกเฉิน.


ติดต่อ

หากคุณสนใจบริการของเรา หรือต้องการปรึกษาเกี่ยวกับการปรับปรุงเว็บไซต์ของคุณให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

@2024 – All Right Reserved. Designed and Developed by ppegood