Home » ประเภทของเครื่องจักรผลิตอาหาร และมาตรฐานที่ควรรู้

ประเภทของเครื่องจักรผลิตอาหาร และมาตรฐานที่ควรรู้

by admin
5 views

เครื่องจักรผลิตอาหาร เป็นหัวใจสำคัญของอุตสาหกรรมอาหาร โดยเครื่องจักรเหล่านี้มีหลากหลายประเภทที่ถูกออกแบบมาเพื่อใช้งานเฉพาะด้าน บทความนี้จะเจาะลึกถึงประเภทของ เครื่องจักรผลิตอาหาร รวมถึงรายละเอียดและหลักการทำงานของเครื่องจักรแต่ละประเภท

เครื่องจักรแปรรูป (Processing Equipment)

เครื่องจักรแปรรูปเป็นเครื่องจักรที่ใช้ในการเตรียมวัตถุดิบและผลิตอาหาร ซึ่งประกอบด้วย

เครื่องบดและผสม (Grinders and Mixers)

เครื่องบดและผสมเป็นเครื่องจักรที่ใช้ในการแปรรูปวัตถุดิบให้มีความละเอียดและสม่ำเสมอ หลักการทำงานของเครื่องบดประกอบด้วย

  • ระบบใบมีด (Blade System): ใบมีดที่ใช้ในเครื่องบดมักทำจากเหล็กกล้าไร้สนิม (Stainless Steel) และมีความคมสูง สามารถบดวัตถุดิบให้มีขนาดเล็กได้ในระดับไมโครเมตร
  • มอเตอร์ไฟฟ้า (Electric Motor): มอเตอร์ที่ใช้ในเครื่องบดมีกำลังไฟฟ้าตั้งแต่ 1.5 ถึง 15 กิโลวัตต์ ขึ้นอยู่กับขนาดและความสามารถของเครื่อง
  • ระบบการควบคุม (Control System): ใช้ระบบ PLC (Programmable Logic Controller) เพื่อควบคุมการทำงานของเครื่องบดและผสมให้อยู่ในเกณฑ์ที่กำหนด

เครื่องนึ่งและต้ม (Steamers and Boilers)

เครื่องนึ่งและต้มใช้ในการปรุงอาหารด้วยไอน้ำหรือความร้อน หลักการทำงานของเครื่องนึ่งประกอบด้วย

  • ระบบการสร้างไอน้ำ (Steam Generation System): เครื่องนึ่งจะมีหม้อต้มที่ใช้ในการสร้างไอน้ำ โดยใช้ท่อเหล็กที่ทนความร้อนสูง และหม้อต้มที่มีความจุตั้งแต่ 50 ถึง 500 ลิตร
  • การควบคุมอุณหภูมิ (Temperature Control): ใช้เซ็นเซอร์วัดอุณหภูมิที่มีความแม่นยำสูง และระบบการควบคุมอุณหภูมิแบบ PID (Proportional-Integral-Derivative) เพื่อรักษาอุณหภูมิในกระบวนการนึ่งให้อยู่ในระดับที่ต้องการ

เครื่องทอด (Fryers)

เครื่องทอดใช้ในการทอดอาหารด้วยน้ำมันร้อน หลักการทำงานของเครื่องทอดประกอบด้วย

  • ระบบทำความร้อน (Heating System): เครื่องทอดใช้หัวเตาทำความร้อนที่สามารถควบคุมอุณหภูมิได้อย่างแม่นยำ โดยทั่วไปอยู่ในช่วง 150-200°C
  • การควบคุมการไหลของน้ำมัน (Oil Flow Control): ระบบการไหลของน้ำมันถูกควบคุมด้วยปั๊มน้ำมันที่สามารถปรับการไหลได้ตามต้องการ เพื่อให้การทอดอาหารมีความสม่ำเสมอ

เครื่องจักรบรรจุภัณฑ์ (Packaging Equipment)

เครื่องจักรบรรจุภัณฑ์เป็นเครื่องจักรที่ใช้ในการบรรจุอาหารลงในภาชนะบรรจุที่ถูกออกแบบมาเพื่อรักษาคุณภาพและอายุการเก็บรักษาของผลิตภัณฑ์ ประเภทของเครื่องจักรบรรจุภัณฑ์ประกอบด้วย

เครื่องบรรจุแบบสุญญากาศ (Vacuum Packaging Machines)

เครื่องบรรจุแบบสุญญากาศใช้ในการบรรจุอาหารในภาชนะที่มีการดูดอากาศออกเพื่อป้องกันการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์และยืดอายุการเก็บรักษาของผลิตภัณฑ์ หลักการทำงานของเครื่องบรรจุแบบสุญญากาศประกอบด้วย

  • ระบบดูดอากาศ (Vacuum System): ใช้ปั๊มสุญญากาศในการดูดอากาศออกจากภาชนะบรรจุ โดยทั่วไปใช้ปั๊มที่มีความสามารถในการสร้างสุญญากาศที่ระดับ 0.1-0.5 mbar
  • การซีลด้วยความร้อน (Heat Sealing): หลังจากการดูดอากาศออกแล้ว ภาชนะบรรจุจะถูกซีลด้วยความร้อนที่อุณหภูมิประมาณ 120-150°C

เครื่องบรรจุแบบอัตโนมัติ (Automatic Packaging Machines)

เครื่องบรรจุแบบอัตโนมัติใช้ในการบรรจุอาหารลงในภาชนะบรรจุแบบต่อเนื่อง โดยไม่ต้องใช้แรงงานคน หลักการทำงานของเครื่องบรรจุแบบอัตโนมัติประกอบด้วย

  • ระบบป้อนอาหาร (Feeding System): ใช้สายพานลำเลียงหรือระบบป้อนอาหารอัตโนมัติในการนำอาหารเข้าสู่เครื่องบรรจุ
  • การบรรจุและซีล (Filling and Sealing): อาหารจะถูกบรรจุลงในภาชนะบรรจุและซีลด้วยความร้อนหรือการใช้กาวร้อนที่อุณหภูมิประมาณ 180-220°C

เครื่องจักรทำความสะอาดและฆ่าเชื้อ (Cleaning and Sanitizing Equipment)

เครื่องจักรทำความสะอาดและฆ่าเชื้อเป็นเครื่องจักรที่ใช้ในการรักษาความสะอาดและความปลอดภัยของกระบวนการผลิตอาหาร ประเภทของเครื่องจักรทำความสะอาดและฆ่าเชื้อประกอบด้วย

เครื่องล้างอัตโนมัติ (Automatic Washers)

เครื่องล้างอัตโนมัติใช้ในการล้างทำความสะอาดอุปกรณ์และภาชนะบรรจุอาหาร หลักการทำงานของเครื่องล้างอัตโนมัติประกอบด้วย

  • ระบบฉีดน้ำแรงดันสูง (High-Pressure Water Jets): ใช้ฉีดน้ำแรงดันสูงที่มีความดันตั้งแต่ 50 ถึง 200 บาร์ เพื่อกำจัดคราบสกปรก
  • การใช้น้ำยาทำความสะอาด (Cleaning Agents): ใช้น้ำยาทำความสะอาดที่มีความเป็นกรดหรือด่างในการทำความสะอาดพื้นผิว

เครื่องฆ่าเชื้อด้วยแสง UV (UV Sterilizers)

เครื่องฆ่าเชื้อด้วยแสง UV ใช้ในการฆ่าเชื้อจุลินทรีย์บนพื้นผิวของอุปกรณ์และภาชนะบรรจุอาหาร หลักการทำงานของเครื่องฆ่าเชื้อด้วยแสง UV ประกอบด้วย

  • หลอดไฟ UV-C (UV-C Lamps): ใช้หลอดไฟที่ปล่อยแสง UV-C ที่ความยาวคลื่น 254 นาโนเมตร ซึ่งมีประสิทธิภาพในการฆ่าเชื้อจุลินทรีย์
  • ระบบการควบคุม (Control System): ใช้เซ็นเซอร์ในการตรวจสอบและควบคุมระดับของแสง UV-C เพื่อให้แน่ใจว่าการฆ่าเชื้อเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ

มาตรฐาน HACCP (Hazard Analysis and Critical Control Points)

มาตรฐาน HACCP เป็นระบบการจัดการที่ใช้ในการระบุ ประเมิน และควบคุมอันตรายในกระบวนการผลิตอาหาร มาตรฐาน HACCP ประกอบด้วยหลักการ 7 ประการ และข้อกำหนดเฉพาะดังนี้

  1. การวิเคราะห์อันตราย (Hazard Analysis): ผู้ผลิตต้องระบุอันตรายที่อาจเกิดขึ้นในทุกขั้นตอนของกระบวนการผลิต เช่น การปนเปื้อนเชื้อโรคหรือสารเคมี และต้องมีแผนการจัดการเพื่อควบคุมอันตรายเหล่านั้น
  2. การระบุจุดควบคุมวิกฤต (Critical Control Points Identification): การกำหนดจุดที่สามารถควบคุมอันตรายได้ เช่น อุณหภูมิในกระบวนการพาสเจอร์ไรส์
  3. การกำหนดขอบเขตของจุดควบคุมวิกฤต (Critical Limits): ต้องกำหนดค่าขอบเขตที่ต้องควบคุม เช่น อุณหภูมิในการพาสเจอร์ไรส์ที่ต้องไม่น้อยกว่า 72°C เป็นเวลา 15 วินาที
  4. การติดตามผลการควบคุม (Monitoring Procedures): ต้องมีระบบการติดตามและบันทึกผลการควบคุมจุดวิกฤต
  5. การแก้ไขเมื่อมีการละเมิดขอบเขต (Corrective Actions): ต้องกำหนดแผนการแก้ไขเมื่อพบว่าจุดควบคุมวิกฤตละเมิดขอบเขตที่กำหนด
  6. การยืนยันผลการควบคุม (Verification Procedures): ต้องมีการตรวจสอบและทบทวนกระบวนการ HACCP เป็นระยะ
  7. การเก็บบันทึกและเอกสาร (Record Keeping and Documentation): ต้องเก็บบันทึกและจัดทำเอกสารที่เกี่ยวข้องกับระบบ HACCP อย่างครบถ้วน

มาตรฐาน ISO 22000

มาตรฐาน ISO 22000 เป็นมาตรฐานสากลสำหรับระบบการจัดการความปลอดภัยของอาหาร โดยรวมเอาหลักการของ HACCP และมาตรฐานการจัดการอื่น ๆ ไว้ด้วยกัน ข้อกำหนดสำคัญได้แก่

  • การสื่อสารในองค์กร (Internal Communication): ต้องมีการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ ในองค์กร
  • การจัดการทรัพยากร (Resource Management): ต้องมีการจัดการทรัพยากรที่เพียงพอ เช่น พนักงานที่มีความรู้และทักษะ เครื่องจักรและอุปกรณ์ที่เหมาะสม
  • การวางแผนและการผลิตที่ปลอดภัย (Safe Planning and Production): ต้องมีการวางแผนกระบวนการผลิตที่คำนึงถึงความปลอดภัยของอาหาร เช่น การควบคุมอุณหภูมิ ความชื้น และการปนเปื้อน
  • การตรวจสอบและการปรับปรุง (Verification and Improvement): ต้องมีการตรวจสอบและทบทวนระบบการจัดการความปลอดภัยของอาหารอย่างต่อเนื่อง

มาตรฐาน GMP (Good Manufacturing Practice)

มาตรฐาน GMP เป็นหลักการปฏิบัติที่ดีในการผลิตอาหาร โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันการปนเปื้อนและรักษาคุณภาพของผลิตภัณฑ์ ข้อกำหนดสำคัญได้แก่

  • การควบคุมคุณภาพของวัตถุดิบ (Raw Material Control): ต้องมีการตรวจสอบและรับรองคุณภาพของวัตถุดิบก่อนนำเข้าสู่กระบวนการผลิต
  • การควบคุมกระบวนการผลิต (Process Control): ต้องมีการควบคุมกระบวนการผลิตในทุกขั้นตอน เช่น การควบคุมอุณหภูมิ การตรวจสอบความสะอาดของอุปกรณ์
  • การควบคุมสถานที่และอุปกรณ์ (Facility and Equipment Control): ต้องมีการออกแบบและบำรุงรักษาสถานที่และอุปกรณ์ให้เหมาะสมและปลอดภัย เช่น การใช้วัสดุที่ไม่เป็นสนิม การจัดตั้งอุปกรณ์ในที่ที่สะดวกต่อการทำความสะอาด
  • การควบคุมการสุขาภิบาล (Sanitation Control): ต้องมีการรักษาความสะอาดและการควบคุมสุขาภิบาลในกระบวนการผลิต เช่น การใช้สารฆ่าเชื้อที่ได้รับการรับรอง
  • การฝึกอบรมและการศึกษา (Training and Education): ต้องมีการฝึกอบรมพนักงานให้มีความรู้และทักษะในการปฏิบัติตามมาตรฐาน GMP

มาตรฐาน BRC (British Retail Consortium)

มาตรฐาน BRC เป็นมาตรฐานสากลที่ใช้ในการรับรองความปลอดภัยของอาหารและคุณภาพของผลิตภัณฑ์ในห่วงโซ่อุปทาน ข้อกำหนดสำคัญได้แก่

  • การวิเคราะห์ความเสี่ยงและการจัดการความเสี่ยง (Risk Analysis and Risk Management): ต้องมีการวิเคราะห์และจัดการความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในกระบวนการผลิตอาหาร เช่น การปนเปื้อนเชื้อโรค การใช้สารเคมีที่ไม่ได้มาตรฐาน
  • การควบคุมคุณภาพของผลิตภัณฑ์ (Product Quality Control): ต้องมีการควบคุมคุณภาพของผลิตภัณฑ์ในทุกขั้นตอนของกระบวนการผลิต เช่น การตรวจสอบความสะอาดของภาชนะบรรจุ การทดสอบคุณภาพของผลิตภัณฑ์
  • การจัดการความปลอดภัยของสถานที่ผลิต (Facility Safety Management): ต้องมีการจัดการความปลอดภัยของสถานที่ผลิต เช่น การติดตั้งระบบป้องกันอัคคีภัย การจัดวางอุปกรณ์ในที่ที่ไม่เกิดอุบัติเหตุ
  • การตรวจสอบและการทวนสอบ (Inspection and Verification): ต้องมีการตรวจสอบและทวนสอบกระบวนการผลิตและผลิตภัณฑ์เพื่อให้เป็นไปตามข้อกำหนด เช่น การตรวจสอบคุณภาพของผลิตภัณฑ์ในทุกล็อตการผลิต

มาตรฐาน FSSC 22000 (Food Safety System Certification)

มาตรฐาน FSSC 22000 เป็นมาตรฐานระบบการจัดการความปลอดภัยของอาหารที่รวมเอามาตรฐาน ISO 22000 และข้อกำหนดเพิ่มเติมสำหรับภาคอุตสาหกรรมเฉพาะ ข้อกำหนดสำคัญได้แก่

  • การจัดการโปรแกรมความปลอดภัยขั้นพื้นฐาน (Pre-requisite Programs Management): ต้องมีการจัดการโปรแกรมความปลอดภัยขั้นพื้นฐานที่จำเป็นในการผลิตอาหาร เช่น การควบคุมการสุขาภิบาล การควบคุมการจัดเก็บวัตถุดิบ
  • การวางแผนฉุกเฉิน (Emergency Planning): ต้องมีการวางแผนและดำเนินการในกรณีฉุกเฉินเพื่อป้องกันความเสี่ยงต่อความปลอดภัยของอาหาร เช่น การจัดการกรณีไฟไหม้ การระเบิด
  • การตรวจสอบและการตรวจสอบภายใน (Internal Auditing and Review): ต้องมีการตรวจสอบและทบทวนกระบวนการผลิตภายในองค์กรเพื่อให้เป็นไปตามข้อกำหนด เช่น การตรวจสอบการปฏิบัติตามมาตรฐานในทุกขั้นตอน
  • การปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง (Continuous Improvement): ต้องมีการปรับปรุงกระบวนการผลิตอย่างต่อเนื่องเพื่อเพิ่มความปลอดภัยและคุณภาพของผลิตภัณฑ์ เช่น การนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาใช้ในการผลิต

สรุป

การใช้งานเครื่องจักรผลิตอาหารในอุตสาหกรรมต้องเป็นไปตามมาตรฐานและข้อกำหนดที่เข้มงวดเพื่อให้มั่นใจในความปลอดภัยและคุณภาพของผลิตภัณฑ์ การเลือกใช้เครื่องจักรที่ตรงตามข้อกำหนดเหล่านี้จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตและลดความเสี่ยงในการปนเปื้อนและอุบัติเหตุในกระบวนการผลิต


ติดต่อ

หากคุณสนใจบริการของเรา หรือต้องการปรึกษาเกี่ยวกับการปรับปรุงเว็บไซต์ของคุณให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

@2024 – All Right Reserved. Designed and Developed by ppegood